วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ภาษาอังกฤษ

             English is a West Germanic language that arose in the Anglo-Saxon kingdoms of England and spread into what was to become south-east Scotland under the influence of the Anglian medieval kingdom of Northumbria. Following the extensive influence of Great Britain and the United Kingdom from the 18th century, via the British Empire, and of the United States since the mid-20th century8, it has been widely dispersed around the world, becoming the leading language of international discourse and the lingua franca in many regions. It is widely learned as a second language and used as an official language of the European Union and many Commonwealth countries, as well as in many world organisations. It is the third most natively spoken language in the world, after Mandarin Chinese and Spanish. It is the most widely spoken language across the world.
      ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเยอรมันตะวันตกที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรแองโกลแซกซอนของอังกฤษและแพร่กระจายเข้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของสก็อตแลนด์ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรยุคกลางของเผ่า Northumbria   ซึ่งมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักรและสหราชอาณาจักรในศตวรรษที่ 18 ผ่านเข้าทางจักรวรรดิอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงกลาง ศตวรรษที่20 และได้แพร่กระจายอิทิพลออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลกและกลายเป็นภาษาที่นิยมของวาทกรรมในต่างประเทศและในหลายๆ ภูมิภาค ได้มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวางว่าเป็นภาษาที่สองและใช้เป็นภาษาอย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรปและประเทศเครือจักรภพหลายๆประเทศ
เช่นเดียวกันกับองค์กรทั่วโลกจำนวนมาก จึงเป็นภาษาที่สามที่คนใช้พูดมากที่สุดในโลก  นอกจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน มันจึงเป็นภาษาที่พูดกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก

ภาษาอังกฤษ (English language) เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 (พ.ศ. 2545: 402 ล้านคน) ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่องจากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี

คำว่า อังกฤษ ในภาษาไทย มีที่มาจากคำอ่านของคำว่า Inggeris ในภาษามลายูที่ยืมมาจาก anglais (English) ( /??gl?/ (help?info)) ในภาษาฝรั่งเศส
ภาษาอังกลิช/แองกลิช (Angles) เป็นภาษาโบราณซึ่งใช้กันในชนชาติแองโกลที่อพยพสู่เกาะบริเตน และเป็นหนึ่งในภาษาแบบฉบับของภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงภาษาแองกลิชแล้ว ก็ต้องระวังเสียงพ้องกับคำว่า ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก รองลงมาจากภาษาจีน ภาษาฮินดี และใกล้เคียงกับภาษาสเปน
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกในประเทศต่างๆ ต่อไปนี้ ออสเตรเลีย บาฮามาส บาร์บาดอส เบอร์มิวดา ยิบรอลตาร์ กายอานา จาไมกา นิวซีแลนด์ แอนติกาและบาร์บูดา เซนต์คิตส์และเนวิส ตรินิแดดและโตเบโก สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ยังมีฐานะเป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาอื่นๆ ใน เบลีซ (ร่วมกับภาษาสเปน) แคนาดา (ร่วมกับภาษาฝรั่งเศส) โดมินิกา เซนต์ลูเซียและเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ (ร่วมกับภาษาครีโอลฝรั่งเศส) ไอร์แลนด์ (ร่วมกับภาษาไอริช) สิงคโปร์ (ร่วมกับ ภาษามาเลย์ ภาษาจีนกลาง ภาษาทมิฬ และภาษาเอเชียอื่นๆ) และแอฟริกาใต้ (ซึ่ง ภาษาซูลู ภาษาโคซา ภาษาแอฟริคานส์ และ ภาษาโซโทเหนือ มีคนพูดมากกว่า) และเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาราชการที่ใช้กันมากที่สุดในอิสราเอล
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการที่ไม่ใช่ภาษาท้องถิ่นในแคเมอรูน ฟิจิ ไมโครนีเซีย กานา แกมเบีย ฮ่องกง (จีน) อินเดีย คิริบาส เลโซโท ไลบีเรีย เคนยา ประเทศนามิเบีย ไนจีเรีย มอลตา หมู่เกาะมาร์แชลล์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะโซโลมอน ซามัว เซียร์ราลีโอน สวาซิแลนด์ แทนซาเนีย แซมเบีย และซิมบับเว
ในทวีปเอเชีย ประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อาณานิคมของบริติชเช่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการโดยมีการเรียนการสอนในโรงเรียน ในฮ่องกงภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาจีนใช้ในการติดต่อธุรกิจ อย่างไรก็ตามในฮ่องกงมีคนจำนวนมากไม่รู้ภาษาอังกฤษ

ระบบการเขียน
          ภาษาอังกฤษใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน
[แก้]เสียงอ่าน และ ตัวอักษรสะกด
Only the consonant letters are pronounced in a relatively regular way:
IPA ตัวอักษรที่แสดงเสียงอ่าน สำเนียงเฉพาะ
p p 
b b 
t t, th (บางครั้ง) thyme, Thames 
d d 
k c (+ a, o, u, พยัญชนะ) , k, ck, ch, qu (บางครั้ง) conquer, kh (ศัพท์จากภาษาอื่น) 
g g, gh, gu (+ a, e, i) , gue (คำลงท้าย) 
m m 
n n 
? n (ก่อน g หรือ k และบางครั้ง c) , ng 
f f, ph, gh (คำลงท้าย) laugh, rough 
v v 
? th (ไม่มีการกำหนดแน่ชัด ว่าคำใดออกเสียงใด 
?
s s, c (+ e, i, y) , sc (+ e, i, y) 
z z, s, ss (บางครั้ง) possess, dessert, ขึ้นต้นด้วย x xylophone 
? sh, sch, ti portion, ci suspicion; si/ssi tension, mission; ch (เฉพาะคำรากศัพท์จากภาษาฝรั่งเศส) ; บางครั้ง s sugar 
? si division, zh (ศัพท์จากภาษาอื่น) , z azure, su pleasure, g (เฉพาะคำรากศัพท์จากภาษาฝรั่งเศส) (+e, i, y) genre 
x kh, ch, h (ศัพท์จากภาษาอื่น) บางครั้ง ch loch (ภาษาอังกฤษสกอตแลนด์, ภาษาอังกฤษเวลส์)
h h (คำขึ้นต้น) 
t? ch, tch บางครั้ง tu future, culture; t (+ u, ue, eu) tune, Tuesday, Teutonic
d? j, g (+ e, i, y) , dg (+ e, i, consonant) badge, judg (e) ment d (+ u, ue, ew) dune, due, dew
? r, wr (คำขึ้นต้น) wrangle 
j y (ขึ้นต้นหรือ ล้อมด้วยสระ) 
l l 
w w 
? wh ภาษาอังกฤษสกอตแลนด์ และอังกฤษไอร์แลนด์
สัทวิทยา


เสียงสูงต่ำ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา intonation ซึ่งหมายถึงการใช้เสียงสูงต่ำขึ้นอยู่กับประโยคที่ใช้ ต่างกับภาษาไทยที่ใช้วรรณยุกต์เป็นตัวกำกับของเสียงสูงต่ำ ประโยคในรูปแบบต่างกัน จะใช้เสียงสูงต่ำแตกต่างกัน เช่นประโยคแสดงความตกใจ ประโยคคำถาม ประโยคสนทนา
การขึ้นเสียงสูง และลงเสียงต่ำยังคงสามารถบอกได้ถึงความหมายของประโยค ตัวอย่างเช่น
When do you want to be paid? (คุณต้องการชำระเงินเมื่อไร)


การเน้นเสียง
การเน้นเสียงในคำ
             ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา stress-timed ซึ่งจะมีการเน้นเสียงที่คำคำหนึ่งโดยการเน้นให้เสียงดังขึ้นหรือเสียงสูงขึ้น ในดิกชันนารี จะนิยมเขียนเครื่องหมายอะพอสทรอฟี ( ? ) ไว้ด้านหน้า (เช่น IPA หรือ พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด) หรือเขียนไว้ด้านหลัง (พจนานุกรมเว็บสเตอร์) โดยทั่วไป คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มี 2 พยางค์ สามารถกล่าวได้ว่า ถ้าเน้นเสียงที่พยางค์แรก คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำนาม หรือ คำคุณศัพท์ และถ้าเน้นเสียงที่พยางค์ที่ 2 คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำกริยา
การเน้นเสียงในประโยค
การเน้นเสียงในประโยคใช้ในการบอกความสำคัญของประโยค โดยประโยคทั่วไปจะเน้นเสียงที่คำหลักที่มีความหมายเฉพาะ โดยจะไม่เน้นเสียงที่ คำสรรพนาม และกริยาช่วย โดยประโยคทั่วไป
That | was | the | best | thing | you | could | have | done!
จะเห็นได้ว่ามีการเน้นเสียงที่คำว่า "best" และ "done" โดยคำอื่นที่เหลือจะไม่มีการเน้นเสียง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อต้องการเน้นที่คำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ การเน้นเสียงจะเปลี่ยนไป เช่น
John hadn't stolen that money. (จอห์นไม่ได้ขโมยเงินไป)
จะเน้นเสียงได้หลายแบบ เพื่อแสดงหลายความหมายโดยนัยของประโยค เช่น
John hadn't stolen that money. (... คนอื่นเป็นคนขโมย)
John hadn't stolen that money. (... คุณบอกว่าเขาทำ แต่เขาไม่ได้ทำ)
John hadn't stolen that money. (... ได้รับเงิน แต่ไม่ได้ขโมย)
John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยเงินของคนอื่น)
John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยอย่างอื่น)


คำศัพท์
         คำศัพท์ส่วนมากในภาษาอังกฤษจะมีรากศัพท์จากภาษาเจอร์เมนิกและภาษาละติน โดยคำจากเจอร์เมนิกจะเป็นศัพท์ที่สั้นและเป็นศัพท์ในชีวิตประจำวัน และคำศัพท์อังกฤษที่รากศัพท์มาจากละติน จะถือว่าเป็นคำศัพท์ของคนชั้นสูงและมีการศึกษาในสมัยก่อน ในปัจจุบันผู้ใช้ภาษาอังกฤษสามารถเลือกใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันเช่น "come" (เจอร์เมนิก) "arrive" (ละติน) ; freedom (เจอร์เมนิก) "liberty" (ละติน) ; oversee (เยอร์มานิก) "supervise" (ละติน) "survey" (ฝรั่งเศสที่มาจากละติน)
นอกจากนี้ในชื่อสัตว์และเนื้อสัตว์จะใช้ศัพท์แยกจากกัน โดยตัวสัตว์จะใช้ศัพท์จากเจอร์เมนิกเป็นคำศัพท์จากชนชั้นล่างในอังกฤษ ขณะที่เนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารใช้ศัพท์จากภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์ละตินซึ่งเกิดจากคำศัพท์ผู้บริโภคชั้นสูง เช่น "cow" และ "beef"; "pig" และ "pork"
ในปัจจุบันได้มีคำศัพท์ใหม่จากภาษาอื่นเข้ามาใช้ในภาษาอังกฤษ หลายภาษารวมถึงฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และภาษาต่างๆ ตัวอย่างคำเช่น creme brulee, cafe, fiance, amigo, karaoke


ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ
             ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีแนวโน้มเป็นไปตาม Zipf's Law (http://en.wikipedia.org/wiki/Zipf's_law) ตัวอย่างเช่น ใน Brown Corpus คำที่มีการใช้งานเป็นอันดับ 1 ("the") มีความถี่เกือบ 7% คำที่มีความถี่อันดับ 2 ("of") ซึ่งมีการใช้งาน 3.5% ตามด้วย "and" 2.9% คำศัพท์เพียง 135 คำที่ใช้งานสูงสุดคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมดใน Brown Corpus
คำศัพท์ที่มีความถี่การใช้งานสูงสุด 4,000 คำก็จะครอบคลุมกว่า 80% ของข้อความภาษาอังกฤษที่พบในหนังสือทั่วไป และกว่า 90% ของคำศัพท์ในภาษาพูดในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมจึงควรเน้นที่คำศัพท์สำคัญและมีการใช้งานสูงสุดก่อน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เน้นการเรียนในรูปแบบนี้โดยตรง ได้แก่ Insight English (http://www.in-eng.com)
อย่างไรก็ดี คำศัพท์ที่เป็นพื้นฐาน 350 คำ คือคำที่ผู้เรียนรู้ภาษาอังกฤษต้องจดจำให้ได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์เหล่านี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะคนที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษในเบื้องต้นให้ได้ดีนั้น ต้องใช้คำศัพท์ราวๆ 1,500 คำ


ACTIVE AND PASSIVE VOICE


Active Voice คือ รูปของกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำโดยตรง
         Mary eats a mango.  (แมรี่รับประทานมะม่วง)




Passive Voice   คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่น
         A mango is eaten by Mary. (มะม่วงถูกรับประทานโดยแมรี่)




จะเห็นได้ว่าใจความประโยค Active Voice และ Passive Voice  นั้นมีความหมายอย่างเดียวกันผิดกันก็ตรงที่ประโยค Active Voice นั้น ประธานเป็นผู้ทำกริยา ส่วน Passive Voice  นั้นประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยา
กริยาที่จะทำเป็นประโยค Passive Voice  ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า  Transitive Verb คือคำกริยาที่ต้องการกรรมมารับ เช่น  to love , to catch , to buy , to eat , to give , to see , to write , etc.  ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับ เช่น to run , to walk , to go , to fly , to swim , etc. นั้นจะทำให้เป็น  Passive Voice ไม่ได้




หลักทั่วไปในการเปลี่ยนประโยค  Active Voice  ให้เป็นประโยค Passive Voice
1.ให้กลับเอาประธานของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมในประโยค Passive Voice โดยมี preposition ‘by’ นำหน้า
2.ให้กลับเอากรรมของประโยค  Active Voice  มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice 
3.กริยาของประโยค  Active Voice  นั้น เมื่อนำมาใช้ในประโยค  Passive Voice  จะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 3 (Past Participle)  และใช้ตามหลัง Verb to be คือ  is , am , are , was , were , be , being , been  ซึ่งจะใช้  Verb to be  ตัวใดนั้นต้องดู tense ของกริยาเดิมในประโยค Active เสมอ จะเปลี่ยนแปลง tense ไม่ได้